แนวปะการังในประเทศไทย
ปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูแนวปะการัง
แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความซับซ้อน และเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในทะเล ทรัพยากรสัตว์น้ำนานาชนิดจากแนวปะการังถูกนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม ความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการังดึงดูดให้มีการใช้ประโยชน์จากแนวปะการังมากขึ้น ทั้งในด้านการประมง และการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสำคัญมากทางเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลเพื่ออุตสาหกรรมและเกษตรกรรมก็ส่งผลกระทบต่อระบบ นิเวศแนวปะการังด้วย แนวปะการังในประเทศไทยมีแนวโน้มจะมีความเสื่อมโทรมมากขึ้นทั้งสาเหตุที่เกิด จากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น พายุ คลื่นสึนามิ การฟอกขาวของปะการัง (coral bleaching) การโผล่พ้นน้ำในช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำมาก การไหลของน้ำจืดลงสู่ทะเล การแย่งพื้นที่โดยสาหร่ายและพรมทะเล และจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การระเบิดปลา การทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง การดำน้ำ เรือชนหรือเกยตื้น การเหยียบย่ำและการเก็บสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง เครื่องมือประมง การขุดร่องน้ำ ขยะ น้ำมัน สารอาหาร ฯลฯ จึงต้องมีการประเมินสถานภาพแนวปะการัง เพื่อกำหนดวิธีการที่เหมาะสมต่อการบริหารจัดการด้านการใช้ประโยชน์ อนุรักษ์ และฟื้นฟูต่อไป
ประเทศไทยมีแนวปะการังคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 96,357 ไร่ ( 154.17 ตร.กม.) โดยแบ่งเป็นทางฝั่งทะเลอันดามันและช่องแคบมะละกาตอนบนประมาณ 50,812 ไร่ ( 81.3 ตร.กม.) และในฝั่งอ่าวไทยมีพื้นที่แนวปะการังทั้งหมดประมาณ 45,545 ไร่ ( 72.9 ตร.กม.) โดยฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออกพบแนวปะการังกระจายอยู่ตั้งแต่จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ส่วนทางด้านฝั่งตะวันตกและภาคใต้ฝั่งตะวันออก พบแนวปะการังในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และปัตตานี
แนวปะการังมีการเปลี่ยนแปลงสภาพตลอดเวลา ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง การเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ เช่น พายุพัดทำลาย การอุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ การะบาดของดาวมงกุฎหนาม หรือจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การประมงผิดวิธีในแนวปะการัง การท่องเที่ยว การลักลอบจับปลาในแนวปะการังหรือลักลอบเก็บปะการัง กิจกรรมจากบนฝั่ง การฟื้นตัวของแนวปะการังสู่สภาพเดิมส่วนใหญ่ใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมหรือยับยั้ง รวมทั้งระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายงานว่า ในปี 2549 ฝั่งอ่าวไทยมีพื้นที่แนวปะการังประมาณ 45,500 ไร่ (72.8 ตร.กม.) และฝั่งทะเลอันดามันประมาณ 50,800 ไร่ (81.28 ตร.กม.) รวมพื้นที่แนวปะการังทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามันมีพื้นที่รวมประมาณ 96,300 ไร่ (154.08 ตร.กม.) พบปะการัง 18 วงศ์ 71 สกุล 388 ชนิดในพื้นที่ดังกล่าว
แผนที่แนวปะการังในประเทศไทย
แนวปะการังอ่าวไทย
ฝั่งทะเลอ่าวไทยมีพื้นที่ปะการังรวมทั้งหมดประมาณ 45,500 ไร่ แบ่งเป็น อ่าวไทยฝั่งตะวันออกพบแนวปะการังกระจายอยู่รอบเกาะต่างๆ ตั้งแต่จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และจังหวัดตราด มีพื้นที่รวมประมาณ 17,500 ไร่ ส่วนอ่าวไทยฝั่งตะวันตกพบปะการังบริเวณรอบเกาะ ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี พื้นที่รวม 29,500 ไร่ จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีพื้นที่ปะการังมากที่สุดในอ่าวไทยประมาณ 24,000 ไร่
สภาพปะการังปี 2549 แนวปะการังฝั่งตะวันออกและตะวันตกของอ่าวไทย ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ปานกลางถึงสมบูรณ์ดีมาก
สถานภาพแนวปะการังฝั่งทะเลอ่าวไทย ปี 2549
ลำดับ |
จังหวัด |
พื้นที่ (ไร่) |
พื้นที่ (ตร.กม.) |
สถานภาพ |
ชนิดเด่น |
สาเหตุการเสื่อมโทรม |
---|---|---|---|---|---|---|
1. |
ตราด |
9,937 |
15.8992 |
ดีปานกลาง–ดี |
ปะการังโขด, ปะการังดาวใหญ่, ปะการังเขากวาง, ปะการังโต๊ะ, ปะการังสมอง, ปะการังช่องเหลี่ยม |
ตะกอนจากการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆ น้ำเสียและตะกอน |
2. |
จันทบุรี |
437 |
0.6992 |
ดีปานกลาง |
ปะการังโขด, ปะการังดาวใหญ่, ปะการังเขาหนัง, ปะการังดอกกะหล่ำ |
ความโปร่งใสของน้ำทะเลต่ำเนื่องจากอยู่ใกล้ชายฝั่ง |
3. |
ระยอง |
628 |
1.0048 |
ดีปานกลาง-ดี |
ปะการังโขด, ปะการังดาวใหญ่, ปะการังเขากวาง, ปะการังโต๊ะ, ปะการังดอกเห็ด |
ปริมาณน้ำจืดและตะกอนจากแม่น้ำระยอง แม่น้ำประแสร์ กิจกรรมจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเกาะเสม็ด |
4. |
ชลบุรี |
4,687 |
7.4992 |
ดีปานกลาง-ดี |
ปะการังโขด, ปะการังวงแหวน, ปะการังแผ่น, ปะการังเขากวาง |
กิจกรรมจากการท่องเที่ยว เครื่องมือประมง น้ำมีปริมาณตะกอนมาก ขยะมูลฝอย |
5. |
ประจวบคีรีขันธ์ |
1,250 |
2 |
ดี |
ปะการังโขด, ปะการังอ่อนหนัง, ปะการังโต๊ะ, ปะการังดอกกะหล่ำ, ปะการังอ่อนดอกเห็ด |
เครื่องมือประมง |
6. |
ชุมพร |
4,062 |
6.4992 |
ดี |
ปะการังเขากวาง, ปะการังโขด, ปะการังเคลือบ, ปะการังอ่อน, ดอกไม้ทะเล, ปะการังอ่อนหนัง, ปะการังดาวใหญ่, ปะการังสมอง |
จากตะกอน พายุและเครื่องมือประมง |
7. |
สุราษฎร์ธานี |
24,187 |
38.6992 |
ปานกลาง |
ปะการังเขากวาง, ปะการังโขด, ปะการังเคลือบ, ปะการังอ่อน, ปะการังไฟแผ่น, ปะการังอ่อนหนัง, ปะการังสมอง |
ตะกอนจากกิจกรรมการท่องเที่ยว และการขุดลอกร่องน้ำ |
8. |
นครศรีธรรมราช |
347 |
0.5552 |
ดีปานกลาง–ดีมาก |
ปะการังเขากวาง, ปะการังช่องเล็กแบบกิ่งและแบบแผ่น, ปะการังสมอง, ปะการังดอกกะหล่ำ |
เกาะกระ ไม่พบปัญหาความเสื่อมโทรม |
9. |
พัทลุง |
|
|
|
|
|
10. |
สงขลา |
|
|
|
|
|
11. |
ปัตตานี |
10 |
0.016 |
ดีปานกลาง–ดีมาก |
ปะการังเขากวาง, ปะการังโขด, ปะการังอ่อน |
เกาะโลซินเริ่มมีปลาดาวหนามระบาด |
12. |
นราธิวาส |
|
|
|
|
|
รวมพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย |
45,545 |
72.872 |
|
|
|
ที่มา : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. 2550
แนวปะการังทะเลอันดามัน แนวปะการังฝั่งทะเลอันดามันส่วนใหญ่ ก่อตัวตามชายฝั่งด้านตะวันออกของเกาะต่างๆ เพราะเป็นด้านที่กำบังคลื่นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลอันดามันอยู่ในเขตทะเลลึกได้รับตะกอนฟุ้งกระจายจากพื้นทะเลน้อยกว่าในเขตน้ำตื้น จึงเหมาะแก่การพัฒนาของแนวปะการังมาก เพราะแสงส่องถึงพื้นได้ดี สามารถพบแนวปะการังได้ที่ระดับน้ำลึก 20-30 เมตร ในที่ตื้นพบกระจายที่ระดับน้ำลึก 3-10 เมตร สถานภาพแนวปะการังปี 2549 แนวปะการังส่วนใหญ่ทุกจังหวัดฝั่งทะเลอันดามันจัดอยู่ในสภาพสมบูรณ์ปานกลาง จังหวัดที่มีแนวโน้มสมบูรณ์ดีมากที่สุดคือจังหวัดสตูล และจังหวัดที่แนวโน้มไปทางเสื่อมโทรมมากที่สุดคือ จังหวัดพังงาและภูเก็ต สถานภาพแนวปะการังฝั่งทะเลอันดามัน ปี 2549
ที่มา : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. 2550
สถานภาพปะการังปี 2553 ปี 2553 เกิดเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวเป็นวงกว้าง จากอุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การฟอกขาวเกิดขึ้นทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จากการสำรวจโดยหลายหน่วยงานพบว่าในแต่ละพื้นที่มีการฟอกขาวมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดปะการังที่ปกคลุมพื้นที่ว่าเป็นพวกที่ไวต่อการฟอกขาวเพียงใด เช่น ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) เป็นชนิดที่ไวต่อการฟอกขาว พื้นที่ที่พบปะการังเขากวางเป็นชนิดเด่นจะได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวมาก ลักษณะการก่อตัวแนวปะการังถือเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการฟอกขาว แนวปะการังที่ได้รับอิทธิพลจากคลื่นลมอยู่เสมอจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะเป็นด้านที่อุณหภูมิไม่สูงอยู่ตลอดเวลา เช่น ด้านตะวันตกของเกาะต่างๆในทะเลอันดามัน เมื่อประมาณภาพรวมทั่วประเทศ พบว่าปะการังแต่ละแห่งมีการฟอกขาวมากถึงร้อยละ 30 – 95 พบปะการังเกือบทุกชนิดฟอกขาวหมด ยกเว้นเพียง 3 – 4 ชนิดที่ทนต่อการฟอกขาวได้ เช่น ปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) ปะการังลายดอกไม้ (Pavona decussata) และปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora)
การฟื้นฟูแนวปะการัง การฟื้นฟูปะการัง คือการทำให้แนวปะการังกลับมามีสภาพความอุดมสมบูรณ์และสามารถเอื้อประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ ให้กับสิ่งมีชีวิตในทะเลรวมไปถึงมนุษย์ การฟื้นฟูสามารถดำเนินการได้หลายวิธี ได้แก่
2. การฟื้นฟูปะการังที่ดำเนินการกับแนวปะการังโดยตรง แบ่งได้เป็น 2.1 การฟื้นฟูทางกายภาพ (Physical restoration) เป็นการปรับปรุงสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการฟื้นตัวของปะการัง ได้แก่ - การปรับพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมต่อการฟื้นตัวตามธรรมชาติของปะการัง เช่น การที่นักดำน้ำร่วมกันพลิกปะการังที่ล้มคว่ำให้กลับสู่สภาพที่จะเจริญเติบโตได้ต่อไปตามธรรมชาติ การเก็บขยะในแนวปะการัง นับเป็นการฟื้นฟูรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ปะการังสามารถดำรงชีวิตและเติบโตต่อไปได้ตามธรรมชาติ - การสร้างพื้นที่ลงเกาะให้กับปะการัง ในรูปของปะการังเทียมโดยใช้วัสดุต่าง ๆ เช่น หิน เซรามิค คอนกรีต นอกจากนี้การใช้ปะการังเทียมอาจมีวัตถุประสงค์นอกเหนือไปจากการเพิ่มพื้นที่ลงเกาะสำหรับปะการัง ได้แก่ การเป็นแหล่งอาศัยสัตว์น้ำอื่น ๆ การทำประมงพื้นบ้าน ป้องกันเครื่องมือประเภทอวนลาก เป็นแหล่งดำน้ำเพื่อลดการใช้ประโยชน์ของนักดำน้ำในแนวปะการังธรรมชาติ ในบางครั้งการฟื้นฟูทางกายภาพเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้การฟื้นตัวของแนวปะการังเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินการฟื้นฟูทางชีวภาพต่อไป
ปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูแนวปะการัง 1. ความเหมาะสมของพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของแนวปะการัง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ได้แก่ บริเวณที่มีน้ำใส มีแสงส่องถึงในปริมาณพอเหมาะ มีความเค็มคงที่ในช่วง 30-36 ส่วนในพันส่วน (ppt) อุณหภูมิน้ำทะเลอยู่ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียส กระแสน้ำและคลื่นลมไม่รุนแรงเกินไป มีพื้นทะเลมั่นคงพอที่ปะการังจะลงเกาะ หลายพื้นที่ชายฝั่งของไทย ปะการังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แต่ไม่สามารถพัฒนาเป็นแนวปะการังได้ ดังนั้นการฟื้นฟูแนวปะการังจึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่และสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นเป็นอันดับแรก โดยทั่วไปมักเป็นบริเวณที่เคยมีแนวปะการังอยู่ก่อนแล้วแต่เกิดความเสื่อมโทรมลงด้วยสาเหตุต่าง ๆ แนวปะการังน้ำตื้นชายฝั่งส่วนใหญ่ที่มักได้รับผลกระทบจากตะกอนตามธรรมชาติ แต่แนวปะการังเหล่านี้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมบริเวณชายฝั่งและพัฒนาเติบโตต่อไปได้ และยังเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ แต่อาจมีสภาพไม่สวยงามเท่ากับแนวปะการังที่อยู่ในบริเวณที่ไกลจากชายฝั่งซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะกอนน้อยกว่า แนวปะการังหลายบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากตะกอนชายฝั่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่อาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าฟื้นฟู 2. สาเหตุและแก้ไขสาเหตุความเสื่อมโทรมของแนวปะการัง การฟื้นฟูแนวปะการังอย่างยั่งยืน ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุความเสื่อมโทรมของแนวปะการังในบริเวณที่จะฟื้นฟู โดยเฉพาะบริเวณที่แนวปะการังเสื่อมโทรมจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเกิดการเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่องทำให้สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นเสียหายอย่างมาก จนยากที่จะฟื้นฟูได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่น การชะล้างตะกอนจากชายฝั่งจากการเปิดหน้าดิน การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง การปล่อยน้ำเสียลงสู่ทะเล การนำเรือผ่านเข้าออกในแนวปะการัง การทิ้งสมอลงในแนวปะการัง หากแก้ไชสาเหตุของปัญหาได้การฟื้นฟูแนวปะการังในบริเวณนั้นก็จะประสบความสำเร็จ 3. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองปะการังอยู่หลายฉบับ ทั้งการคุ้มครองตัวปะการังมีชีวิตและซากปะการัง กฎหมายคุ้มครองพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับแนวปะการังในบางพื้นที่ การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับปะการังควรต้องคำนึงถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ด้วย โดยเฉพาะพื้นที่อุทยานแห่งชาติเนื่องจากการฟื้นฟูปะการังไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย 4. ความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ ความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการฟื้นฟูแนวปะการัง เนื่องจากการฟื้นฟูปะการังเป็นกิจกรรมที่ใช้ทั้งแรงงาน เวลา และงบประมาณในการฟื้นฟูสูง การได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ทำให้การฟื้นฟูประสบความสำเร็จได้ง่ายการการดำเนินการผ่ายเดียว โดยเฉพาะการฟื้นฟูปะการังโดยชุมชนที่ตระหนักถึงความสำคัญของแนวปะการังในพื้นที่ของตนและมีศักยภาพในการดำเนินการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง เช่น การร่วมกันดูแลสภาพแวดล้อม การสอดส่องไม่ให้มีกิจกรรมที่การทำลายปะการังเกิดในพื้นที่ ไปจนถึงการร่วมดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูปะการัง การดูแลพื้นที่ฟื้นฟู และร่วมกันวางแผนจัดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ดำเนินการฟื้นฟูปะการัง 5. วิธีการที่เหมาะสมในการฟื้นฟูปะการังในแต่ละพื้นที่ สภาพแวดล้อมแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำและพื้นท้องทะเล ชนิด จำนวนและที่มาตัวอ่อนปะการังที่มีอยู่ในมวลน้ำที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่และฤดูกาล เป็นต้น ดังนั้นการฟื้นฟูปะการังจึงควรปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการให้ความเหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ภายใต้พื้นฐานทางวิชาการ แม้ในต่างประเทศเองก็ยอมรับว่าการฟื้นฟูโดยการปลูกปะการังยังสามารถทำได้ในระดับการศึกษาวิจัยเท่านั้น เนื่องจากใช้งบประมาณ กำลังคน เวลามาก และไม่มีสิ่งที่จะรับประกันความสำเร็จในระยะยาว 6. การประเมินความสำเร็จของการดำเนินงาน การประเมินความสำเร็จในการฟื้นฟูแนวปะการังควรกำหนดขอบเขตและเป้าหมายของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมและสามารถตรวจวัดได้ เช่น การกำหนดขอบเขตพื้นที่ดำเนินการ ความแตกต่างของพื้นที่ฟื้นฟูกับบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้ทำการฟื้นฟูภายในระยะเวลาต่าง ๆ อาจพิจารณาจากอัตรารอดของปะการังแต่ละพื้นที่ โครงสร้างสังคมสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้น องค์ประกอบชนิดของสัตว์น้ำที่เปลี่ยนแปลงไป รูปแบบการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ ฯลฯ ควรกำหนดช่วงเวลาการสำรวจทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการฟื้นฟูในระยะเวลาต่างๆ และมีการติดตามข้อมูลเป็นครั้งคราวอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูที่ดำเนินการกับปะการังโดยตรง ไม่ใช่วิธีการหลักในการแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของแนวปะการัง แต่ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะทำเพื่อให้ได้แนวปะการังกลับคืนมา
ที่มา : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. 2550. รายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2550. สืบค้นจาก http://www.dmcr.go.th/pr/webpage/pr_FreeMedias.htm (28 มิ.ย.54) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. รายงานเบื้องต้นผลกระทบการเกิดปะการังฟอกขาวปี 2553. สืบค้นจากฐานข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง http://www.dmcr.go.th/marinecenter/coral-lesson6.php (28 มิ.ย.54) นลินี ทองแถม. การฟื้นฟูปะการังและปัจจัยที่ควรพิจารณา. สืบค้นจาก http://km.dmcr.go.th/index.php? option=com_content&view=article&id=109:2009-04-30-08-53-59&catid=81:2009-02-16-07-56-26&Itemid=28 (4 ก.ค.54) กรมทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่ง , 2551. รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการจัดทำแผนฟื้นฟูเเนวปะการัง.155 หน้า.
ลิงค์ที่มาข้อมูล : กรมทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่ง http://www.mkh.in.th/index.php/2010-03-22-18-04-43/2010-03-25-13-19-07
|